Image Not Found

ข้าวปุ้น IELTS 7.0

การมาเรียน Private เหมือนเป็นการบังคับว่าต้องทำการบ้านส่งอาจารย์ทุกวัน โดยเฉพาะ Writing ที่ต้องเขียนส่งวันละ 2-3 เรื่อง อีกหนึ่งข้อดีของการเรียน Private คือ อาจารย์จะเป็นเหมือนโค้ชส่วนตัวที่รู้ว่าเรามีปัญหาอะไร ต้องแก้และพัฒนาจุดไหนบ้าง เพื่อที่จะสอบให้ได้คะแนนดีค่ะ

IELTS 7.0

Listening
8.0

Reading
7.5

Writing
6.0

Speaking
7.0

“น้องข้าวปุ้น เบญจพร คงเทพ” หลังเรียนจบสาขา Food Science and Technology ที่ ม.มหิดล อินเตอร์ (MUIC) ก็ได้มีโอกาสทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย แม้ว่าจะได้เขียนรายงานภาษาอังกฤษอยู่บ่อยๆ แต่กลับมีปัญหาเรื่อง Writing และ Speaking ที่แก้ไม่ตก จึงมาสมัครเรียน Private IELTS 20 ชั่วโมง ฉบับเร่งด่วน ทำให้ได้ผลคะแนนสอบ IELTS 7.0 (Listening 8.0 , Reading 7.5 , Writing 6.0 และ Speaking 7.0 ) ซึ่งสอบไปเมื่อวันที่ 3/3/2018 ที่ผ่านมา ปัจจุบันน้องข้าวปุ้นกำลังเรียนต่อปริญญาโท ที่ University College Dublin (UCD), Ireland น้องข้าวปุ้นมีวิธีเรียนอย่างไรให้ได้คะแนน IELTS สูงถึง 7.0 ติดตามจากบทสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ

ตอนนี้มาเรียนสาขา Food Safety ที่ UCD, Ireland แล้วค่ะ ซึ่งการจะเข้าเรียนที่นี่ได้ต้องใช้คะแนน IELTS Overall 6.5 แต่มีเงื่อนไขว่าทุกพาร์ทต้องไม่ต่ำกว่า 6.0 ความจริงหนูเคยสอบ IELTS มาก่อนทั้งหมด 2 ครั้ง สอบครั้งแรกสมัยที่สอบเข้ามหิดลอินเตอร์ เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอ่านหนังสือและฝึกทำข้อสอบเอง ซึ่งได้ Overall 6.0 ค่ะ แต่ Speaking นี่หนักสุดเลยได้แค่ 5.0 เอง

เหตุผลหลักที่ตัดสินใจลงเรียน Private IELTS คือเพื่อความชัวร์ค่ะ เพราะอยากจะสมัครเรียนต่อแล้ว และมีเวลาเตรียมตัวแค่เดือนเดียว ซึ่งมันกระชั้นชิดมาก ถ้าอ่านหนังสือเองกลัวว่าจะสอบไม่ผ่านเกณฑ์ เลยคิดว่าการเรียน Private น่าจะช่วยได้

ตอนแรกเลยหนูอยากเรียนแค่ Speaking แต่พี่สต๊าฟแนะนำว่าควรเรียน Writing ควบคู่ไปด้วย เพราะเป็นพาร์ทที่จะช่วยดึงคะแนนได้ สุดท้ายหนูเลยเลือกโฟกัสที่ Writing กับ Speaking ตามที่พี่ๆ แนะนำ ส่วน Listening กับ Reading เป็นพาร์ทที่หนูถนัดเลยไม่ได้เน้นตรงนี้ค่ะ

คือเป็นคนพูดไม่เก่งค่ะ เวลาจะตอบแต่ละคำถามหนูใช้เวลาคิดเยอะ กลัวว่าถ้าไปสอบจริงจะตอบไม่ได้ แล้วได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์

ฝึกเรื่อยๆค่ะ อย่างตอนที่มาเรียนหนูพยายามฝึกพูดให้มากที่สุด แล้วอาจารย์ก็ให้การบ้านกลับไปฝึกคิดทุกวัน พอทำการบ้านเยอะๆเราก็พอจับทางได้ว่าควรจะต้องตอบคำถามประมาณไหน นอกจากนี้ก็เปิด YouTube ฟังทุกวัน อีกอย่างคือโชคดีด้วยที่ตอนสอบได้คำถามไม่ยากมาก ซึ่งมีเรื่องกิจกรรมที่ราจะทำกับผู้สูงอายุในบ้าน แล้วก็เรื่องบทบาทของผู้หญิงในสังคมปัจจุบันค่ะ

หนูว่ามันไม่เหมือนการพูดคุยธรรมดา แต่เราต้องโชว์ให้มากที่สุดว่าเรามีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษที่ดี คือ เราต้องพูดประโยคที่มีความซับซ้อนและเลือกใช้คำศัพท์ที่ยากขึ้นค่ะ

Task 2 หนูได้โจทย์ที่เป็น Discuss both views ถามว่า บ้านควรมีดีไซน์ที่เหมือนกัน หรือรัฐบาลควรให้สิทธิ์ทุกคนในการดีไซน์บ้านของตัวเอง จงให้เหตุผล พอหนูอ่านโจทย์เสร็จคืออึ้งไปเลย ไม่รู้จะให้เหตุผลยังไง แต่ตอนนั้นนึกคำศัพท์อะไรได้ก็เขียนเลย พอเริ่มเขียนมันก็ไหลไปได้เรื่อยๆ แต่พยายามเขียนตาม Pattern ที่เคยฝึกตอนเรียน ซึ่งช่วยได้เยอะเลยค่ะ

ต่างมากค่ะ เพราะถ้าฝึกเองจะขี้เกียจ แต่การมาเรียน Private เหมือนเป็นการบังคับว่าต้องทำการบ้านส่งอาจารย์ทุกวัน โดยเฉพาะ Writing ที่ต้องเขียนส่งวันละ 2-3 เรื่อง อีกหนึ่งข้อดีของการเรียน Private คือ อาจารย์จะเป็นเหมือนโค้ชส่วนตัวที่รู้ว่าเรามีปัญหาอะไร ต้องแก้และพัฒนาจุดไหนบ้าง เพื่อที่จะสอบ IELTS ให้ได้คะแนนดีค่ะ

อย่าง Listening โจทย์มันค่อนข้างตรงไปตรงมา พยายามอ่านโจทย์ให้เร็ว และเวลาฟังต้องมีสมาธิเพราะมันเร็วมาก ส่วน Reading นี่ยากระดับนึงเลย บางทีคำตอบก็ไม่ได้มีมาให้แบบตรงๆ แต่เราจะต้องตีความโดยเฉพาะพาร์ทที่เป็น True, False และ Not Given ซึ่งหนูคิดว่ายากที่สุด แต่สรุปแล้วคือต้องฝึกทำทุกพาร์ทนั่นแหล่ะค่ะ และควรเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนสอบให้ดีๆ อย่าให้เวลามันกระชั้นชิดเกินไป

หมายเหตุ: ผลสอบของนักเรียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ระยะเวลาในการเตรียมตัว และความมุ่งมั่นตั้งใจในการเตรียมสอบด้วย อย่างไรก็ตามทางอิงลิชพาร์คพร้อมดูแล และช่วยให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียนตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ