Image Not Found

น้องเอย IELTS 6.5

ประทับใจการเรียนกับอาจารย์ที่นี่ทุกคนเลยค่ะ แต่ละคนก็มี Character การสอนที่ต่างกันออกไป แต่อาจารย์ทุกคนพยามยามแก้ปัญหาของนักเรียนเจาะจงเป็นรายบุคคลเลยค่ะ จุดไหนเด่นอาจารย์ก็ช่วยให้ทำได้ดีขึ้น จุดไหนด้อยอาจารย์ก็ช่วยย้ำ และแก้ไขให้จนเราจำได้และเอาไปใช้ได้อย่างถูกต้องค่ะ

IELTS 6.5

Listening
7.0

Reading
6.5

Writing
5.5

Speaking
6.0

ก่อนที่ “น้องเอย ณิชารีย์ อำพันพงษ์” จะมาสมัครเรียนคอร์ส Unlimited Weekend 6 เดือน ที่อิงลิชพาร์ค น้องเอยรู้อยู่แล้วว่าการสอบ IELTS ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่พอได้มาเรียนที่นี่กลับยิ่งพบว่า การจะทำคะแนนสอบให้ได้ดีนั้นยากกว่าที่เคยคิดไว้หลายเท่าตัว ซึ่งจำเป็นต้องมีเทคนิคในการพิชิตข้อสอบ น้องเอยทำอย่างไรถึงสอบ IELTS ได้ Overall 6.5 คะแนน (Listening 7.0, Reading 6.5, Writing 5.5, Speaking 6.0) ติดตามอ่านจากบทสัมภาษณ์ของน้องเอยได้เลยค่ะ

สวัสดีค่ะ ตอนนี้เอยทำงานประจำ เป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าค่ะ ซึ่งทำงานสายนี้มาสักพักแล้ว และรู้สึกอิ่มตัวกับงานในสาขาแฟชั่น เลยอยากเปลี่ยนสาย เพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ ดังนั้นเลยคิดที่จะไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาภาพประกอบที่อังกฤษ แต่ยังไม่ได้วางแผนชัดเจนนะคะว่าจะต้องไปเรียนเมื่อไหร่ ตอนนี้เอยดูมหาวิทยาลัยไว้ 3 ที่ค่ะมี University of arts London, Camberwell College of Arts และ University of Brighton ซึ่งแต่ละที่ต้องใช้คะแนน IELTS 6.5 ค่ะ

ก่อนมาเรียนที่ English Parks เพื่อนของเอยมาเดินที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ซึ่งตอนนั้นมีงานออกบูธเกี่ยวกับ Education พอดีค่ะ ซึ่งเพื่อนได้เข้าไปสอบถามข้อมูลคอร์สเรียนที่บูธของอิงลิชพาร์ค แล้วเขามาถามเอยว่า สนใจมาเรียนที่นี่มั้ย เพราะมีสอน IELTS ด้วยนะ เอยเลยตัดสินใจลองมาดูด้วยตัวเอง ซึ่งคอร์สเรียนของที่นี่น่าสนใจดีค่ะ โดยเฉพาะคอร์ส Unlimited หลังจากได้ลองทำ Test ของโรงเรียนแล้ว ผลปรากฏว่า Grammar ของเอย แย่มาก คือ ตั้งแต่เรียนจบมัธยม เอยไม่ได้แตะภาษาอังกฤษแบบจริงจังเลย ยิ่งสมัยมหาวิทยาลัย เอยเรียนเกี่ยวกับพวกงานดีไซน์เป็นหลัก ส่วนภาษาอังกฤษได้ใช้แค่ฟัง และพูดทั่วๆไปเท่านั้นเอง พี่เจ้าหน้าที่แนะนำว่า หลักๆเอยจำเป็นต้องเรียน Grammar และ Sentence Writing เพื่อปูพื้นฐานให้แน่นก่อนที่จะเข้าคลาสเรียน IELTS ซึ่งเอยเลือกสมัครคอร์ส Unlimited Weekend 6 เดือนค่ะ

เดิมทีเอยสามารถพูดคุยได้ทั่วไป เรียกว่าพอสื่อสารได้ แต่โครงสร้างประโยค และการใช้คำศัพท์ ยังมีผิดๆ ถูกๆ บ้าง ซึ่งคลาสที่เอยคิดว่ามีประโยชน์มากๆ คือ คลาส Collocation ค่ะ คลาสนี้อาจารย์จะสอนคำศัพท์ที่ใช้คู่กัน หรือ Idiom ที่น่าสนใจ รวมถึงคลาส Pronunciation ที่ทำให้เอยพูดออกเสียงได้ถูกต้องขึ้น ก่อนหน้านี้เอยมีปัญหาเรื่องการออกเสียงตัว V และ TH ซึ่งจากการเรียนทำให้เอยเข้าใจการออกเสียงคำศัพท์ หรือ phonetics ด้วย เวลาเปิดดิกชันนารี เราสามารถอ่านคำศัพท์ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Talking dictionary เลยค่ะ

ตอนนั้นอยากขอกลับมาเรียน Grammar ใหม่อีกรอบเลยค่ะ จริงๆแล้วการเรียน IELTS มันจุกจิกมากนะคะ เอยเป็นคนไม่ค่อยระวังเรื่องการใช้ Grammar อย่าง Writing ก็เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้เช็คเรื่องประธาน Singular- Plural หรือ Countable-uncountable Noun อะไรพวกนี้ ซึ่งทุกครั้งที่อาจารย์ตรวจการบ้าน ก็จะวงตัวแดงให้ตลอดเลย และทุกครั้งที่เขียนเราต้องคอยเตือนตัวเองเรื่องนี้ตลอดค่ะ

จริงๆก่อนมาเรียนที่นี่ เอยเคยไปสอบมาแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลย อย่างเช่น ในส่วนที่ต้องเติมคำ บางทีมันมีจุดสังเกตว่า ตรงนี้ต้องเติมคำที่เป็น Noun หรือ Adjective อะไรแบบนี้ ตอนนั้นฟังออกก็จริง แต่ดันตอบผิด แต่พอได้มาเรียน เอยจะคอยสังเกตเรื่อง Word form มากขึ้นค่ะ

อย่าง Reading ที่มีเวลาจำกัด ปัญหาของเอย หนักๆ เลยคือ อ่านช้ามาก และอ่านไม่ค่อยทัน อาจารย์แนะนำการดู Headline หรือข้อความที่อยู่ล่างสุด ซึ่งพวกนี้จะเป็น Topic sentence หรือให้หาใจความสำคัญๆว่า น่าจะอยู่ตรงไหนของเนื้อหา ซึ่งช่วยให้เราอ่านได้เร็วขึ้น แถมเข้าใจเนื้อหาครบถ้วนด้วยค่ะ

ช่วงนั้นงานยุ่งด้วยล่ะค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลาทบทวน Writing ซึ่งเอยมีปัญหาหนักมากเรื่องเขียนไม่ทัน และอยากพัฒนาเรื่อง Writingให้มากขึ้นอีก ตอนที่เข้าเรียนก็ไม่คิดว่า IELTS มันจะยากขนาดนี้ ทีแรกคิดว่า เออ…มันก็แค่ตอบคำถาม เขียนตาม Pattern สำหรับ Task แรก เขียนแค่ 150 คำ และ Task 2 เขียน 250 คำให้จบแค่นั้น แต่จริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดเยอะกว่านั้น ที่สะท้อนไปถึงแนวคิดของเราเลยค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะต้องถ่ายทอดออกมาให้ได้อย่างเหมาะสมกับโจทย์ในแต่ละเรื่อง เอยรู้ตัวว่าเรายังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น เลยคิดว่าเรียนต่ออีกสักหน่อยดีกว่า เพราะยังมีเวลาเตรียมตัว เอาให้ชัวร์ไปเลยว่าไปสอบครั้งนี้จะได้คะแนนตามที่คิดค่ะ

ช่วงที่สมัครต่อคอร์สก็ตั้งใจไว้แล้วล่ะค่ะว่า รออีกเดือน หรือสองเดือน จะไปสอบแล้ว ตื่นเช้ามาทุกวันเอยจะฟังข่าว BBC ก่อนเลย ระหว่างนั่งรถก็เปิดบทเรียน Listening ฟังให้มันคุ้นหูไว้ และเอาหัวข้อ Speaking มาลองทบทวนแนวทางการตอบคำถามด้วยตัวเอง ส่วน Writing ช่วงหลังจะฟิตเป็นพิเศษหน่อยค่ะ โดยเขียนส่งอาจารย์ สัปดาห์ละ 2-3 ชุด ซึ่งสิ่งที่อาจารย์ให้ Comment มา เราก็เอามาแก้ Draft แล้วเขียนซ้ำอีกทีค่ะ

จริงๆ เสียดายพาร์ท Speaking นะคะ คิดว่าพื้นฐานเราดีกว่าตอนที่ไปสอบครั้งแรกอีก แต่อาจจะด้วยหัวข้อที่ได้ซึ่งเกี่ยวกับกฎในโรงเรียน โดยส่วนตัวแล้วเอยไม่ค่อยเห็นด้วยกับกฎระเบียบของโรงเรียน เลยตอบ Examiner ไปตามตรงว่าไม่เห็นด้วยกับคำถาม ซึ่งเนื้อหาที่จะพูดมันไปต่อยาก ทำให้ Supporting idea ดูไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ แต่คะแนน Overall 6.5 ก็พอใจนะคะ เพราะผ่านเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดแล้ว เอยตั้งใจยื่นที่ Camberwell College of Arts ค่ะ แต่ทางมหาวิทยาลัยต้องพิจารณาจากพอร์ทของเราประกอบด้วย ซึ่งต้องลุ้นอีกทีว่าจะผ่านมั้ย

ประทับใจการเรียนกับอาจารย์ที่นี่ทุกคนเลยค่ะ แต่ละคนก็มี Character การสอนที่ต่างกันออกไป แต่อาจารย์ทุกคนพยามยามแก้ปัญหาของนักเรียนเจาะจงเป็นรายบุคคลเลยค่ะ จุดไหนเด่นอาจารย์ก็ช่วยให้ทำได้ดีขึ้น จุดไหนด้อยอาจารย์ก็ช่วยย้ำ และแก้ไขให้จนเราจำได้และเอาไปใช้ได้อย่างถูกต้องค่ะ

ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีจุดไหนที่ต้องพัฒนาด้วยแหละค่ะ อย่างเอยไม่ค่อยใส่ใจเรื่อง Grammar เลยต้องการคนที่มาช่วยติวเข้มในส่วนนี้มากๆ นอกจากนี้ก็เรื่องความสม่ำเสมอ บางทีมาเรียนขาดช่วงมันก็จะลืมๆไปเหมือนกัน เพราะเอยมาเรียนได้แค่เสาร์-อาทิตย์ อีก 5 วันต้องทำงาน เอยยังรู้สึกเลยว่ามันขาดความต่อเนื่องค่ะ ปกติจะทำข้อสอบสัปดาห์ละชุด ช่วงใกล้สอบก็ทำเพิ่มขึ้นค่ะ ซึ่งกลับมาทำช่วงหลังเลิกงานทุกวัน บางวันทำ 2-3 ชุดเลย เอยว่าภาษาอังกฤษมันต้องฝึกฝนบ่อยๆด้วยค่ะ จะได้รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน และอะไรที่เราต้องพัฒนาให้ดีขึ้นค่ะ

หมายเหตุ: ผลสอบของนักเรียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ระยะเวลาในการเตรียมตัว และความมุ่งมั่นตั้งใจในการเตรียมสอบด้วย อย่างไรก็ตามทางอิงลิชพาร์คพร้อมดูแล และช่วยให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียนตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ