Diamond IELTS 7.0
อาจาร์ยจะคอยช่วยตลอดเรื่องคำศัพท์ เรื่องแกรมม่า แล้วก็เรื่องไอเดียที่จะเขียนและพูด ซึ่งอาจารย์จะเน้นเรื่องไอเดียมากๆ จนตอนนี้ผมสามารถรับสอนพิเศษให้เพื่อนๆได้เลยครับ
IELTS 7.0
Listening
7.0
Reading
6.5
Writing
6.5
Speaking
7.0
สมัยมัธยมศึกษาเรียนภาษาอังกฤษได้เกรด 4 มาตลอด แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็พบว่า ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน กลับสวนทางกับเกรดที่ได้ แต่ล่าสุด “น้องไดมอนด์ หรือ นายเทพฤทธิ์ อุ่นยวง” ที่กำลังศึกษาคณะบริหารธุรกิจ ชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนานาชาติ มหิดล (MUIC) สามารถสอบได้คะแนน IELTS 7.0 (Listening 7.0, Speaking 7.0, Reading 6.5 และ Writing 6.5) ในการสอบครั้งเดียว อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้น้องไดมอนด์พัฒนาตัวเองมาได้ไกลขนาดนี้ เรามีสัมภาษณ์ของน้องมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ
ผมพอใจมากครับที่สอบครั้งแรกแล้วได้คะแนน 7.0 ต้องบอกเลยว่า ผมมาไกลมากจริงๆไม่คิดว่าตัวเองจะพัฒนามาได้ถึงขนาดนี้ ตั้งแต่เด็กจนถึงม.ปลาย ผมเรียนภาษาอังกฤษได้เกรด 4 มาตลอดนะครับ แต่เชื่อไหมว่า ผมพูดไม่ได้ ฟังไม่ออก เขียนไม่ได้ หรือถึงอ่านได้แต่ก็ไม่รู้เรื่อง เรียกว่าเรียนมาก็รู้แต่หลัก Grammar จากหนังสือเรียน แต่ที่ได้เกรด 4 เพราะเป็นข้อสอบ Choice ตลอด ไม่เคยต้องเขียนเลย
ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วครับ ผมได้ทุนเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิทยาศาสตร์ อยู่มาวันนึงผมได้มีโอกาสไปนั่งเล่นที่ MUIC ซึ่งเป็น International Program พอเห็นบรรยากาศแล้วชอบมาก โดยเฉพาะสังคมของเด็กที่เรียนอินเตอร์จะเปิดกว้างมาก แถมยังได้ภาษาอังกฤษด้วย ดังนั้นผมเลยตัดสินใจลาออกจากคณะวิทย์ทันที ทั้งที่เรียนไปได้เทอมเดียว เพราะรู้แล้วว่านี่คงไม่ใช่ชีวิตที่เราอยากจะเป็น
ผมไม่เคยเรียนอินเตอร์มาก่อน ตอนมัธยมก็เรียนแผนวิทย์-คณิตด้วย ความจริงรู้ตัวอยู่แล้วว่าภาษาอังกฤษเราแย่มาก ผมมีเวลาแค่ 2 อาทิตย์กว่าๆในการเตรียมตัวสอบเข้า MUIC ตอนนั้นผมทำข้อสอบไม่ได้เลย ทั้งๆที่ยังไม่ประกาศผลแต่คิดว่ายังไงก็สอบไม่ติดแน่ๆ พอดีมีคนแนะนำให้มาเรียนที่ English Parks ซึ่งผมก็ตัดสินใจสมัครเรียนUnlimited Package 6 เดือนเลย โดยเลือกเข้าเรียนคลาส IELTS ที่เน้นทำข้อสอบครับ
หลังจากเรียนที่ English Parks ไปได้ไม่ถึงเดือน ที่ MUIC ก็ประกาศผลสอบ ซึ่งผมสอบติด pre college level 2 แต่ก็ยังไม่พอใจนะ เพราะคิดว่าต้องทำได้ดีกว่านี้ ระหว่างที่เรียนที่นี่ผมได้กลับไปสอบใหม่อีก 2 ครั้งกว่าจะสอบติดเข้า college ได้ ซึ่งเป็นช่วงที่เรียนใกล้จะจบคอร์สแล้วล่ะ
ผมมาเรียนทุกวัน ตั้งแต่เช้าถึง 2 ทุ่ม ตอนนั้นกดดันมาก เพราะ MUIC คือความหวังสุดท้ายของเราแล้ว ถ้าสอบเข้าไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปเรียนที่ไหน จะให้กลับไปสอบ GAT PAT เข้าภาคปกติอีกก็ไม่ไหว คิดว่าการเรียนที่นี่น่าจะช่วยได้ ช่วงแรก ๆ ที่เรียน Conversation กับอาจารย์ฝรั่ง คือ ฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่พอเรียนไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มพูดได้มากและสามารถสื่อสารกับอาจารย์ได้ในที่สุด
ปกติแล้ว MUIC จะใช้คะแนน TOEFL แต่การเข้าเรียนคลาส IELTS มีผลดีมาก ๆ โดยเฉพาะเรื่อง Writing ที่เน้นเรื่องไอเดียในการเขียน ที่เริ่มจากการ Brainstorm ก่อน แล้วค่อยแตกไอเดียว่าจะเขียนอะไรบ้าง บวกกับเขียนอย่างไรให้กระชับได้ใจความ และเลือกใช้ภาษาที่สละสลวยมากขึ้น ผมฝึกเขียนทุกวัน แถมขอแบบฝึกหัดกลับไปเขียนที่บ้านอีกวันละ 2-3 เรื่อง ทำให้เขียนได้เร็วขึ้น และดีขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างเช่น เรื่องคำศัพท์ พออาจารย์บอกว่าให้เลือกใช้คำที่ Advance มากขึ้น เวลาเขียนครั้งถัดไปเราก็ลองใช้คำใหม่ๆ หรือไอเดียไหนที่ไม่เข้าพวกก็ระวังไม่เขียนอีก ผมว่าการที่เอาคอมเม้นท์ของมาอาจารย์มาปรับใช้ทันที ช่วยให้เราจำได้ง่ายขึ้น หรือการลองใช้คำใหม่ๆ เราก็จะได้รู้ว่าอันไหนผิดอันไหนถูก
ผมเชื่อว่าถ้าเรามีระเบียบวินัยในการฝึกฝนจะทำให้เราเก่งเอง เพราะเราไม่ได้เก่งมาตั้งแต่แรก ผมได้ยินอยู่เสมอว่า ภาษาอังกฤษต้องใช้เยอะๆ เราก็ต้องเขียนเยอะ ๆ ตอนที่ได้เข้าไปเรียน college แล้ว คลาสแรกที่เข้าเรียนผมได้ท็อปวิชา Writing นะครับ อาจารย์ยังงงเลยว่าผมรู้คำศัพท์ยากๆได้ยังไง แอบเปิด dictionary หรือเปล่า
เพราะเราไม่เคยเขียนเลยไงครับ เรียนมาเขียนยาวสุดก็แค่ประโยคเดียว ตอนที่เรียนคณะวิทย์ มีเรียนภาษาอังกฤษด้วยนะ แล้วอาจารย์ให้เขียนหนึ่งย่อหน้า แต่ผมเขียนผิดทุกบรรทัด มีหมึกแดงแก้เต็มไปหมด
เพราะผมอยากร่วมโครงการนักศึกษาแลกเปลี่ยนไปเรียนที่ California State University, Long Beach เป็นเวลา 1 เทอม หรือประมาณ 6 เดือน แต่จะสมัครได้ต้องใช้คะแนน IELTS 6.0 ขึ้นไป โดยแต่ละพาร์ทต้องไม่ต่ำกว่า 6.0 ผมไม่เคยสอบมาก่อนเลย แถมมีเวลาเตรียมตัวก่อนสอบแค่ 3 อาทิตย์ แต่โชคดีที่ English Parks ให้สิทธิ์กับนักเรียนเก่าในการกลับมาทำ Mock-Up Test ได้ไม่จำกัด ก็เลยได้ใช้สิทธิ์นี้ ซึ่งผมมาฝึกทำข้อสอบวันละ 4-6 ชั่วโมงทุกวัน ถ้าวันไหนมาไม่ได้จริงๆ ก็จะขอข้อสอบกลับไปทำที่บ้านเพิ่มเติมครับ
ผมได้คะแนน Listening ดีอย่างเดียว ส่วน Writing ก็พอไหว แต่ถ้าเป็น Reading กับ Speaking ไม่ค่อยดี สาเหตุเพราะผมห่างหายจากการทำข้อสอบมานาน เวลาเรียนที่ MUIC ก็อ่านเพื่อนำมาใช้ประกอบการเขียน แต่ไม่ได้อ่านเพื่อจับประเด็นอย่างในข้อสอบ ส่วน Speaking ครั้งแรกที่ฝึกกับอาจารย์ได้ 6 คะแนนเองครับ ยอมรับว่าเสียเซลฟ์เลยทั้งที่เรียนอินเตอร์แท้ๆ ซึ่งอาจารย์ให้เหตุผลว่า ผมยังตอบสั้นไปและไม่ครอบคลุม
คือช่วยให้เราคุ้นเคยและรู้แนวทางในการทำข้อสอบ หรือไม่บางทีตอนสอบอาจโชคดีเจอโจทย์ที่คล้ายกันกับตอนฝึกก็ได้ นอกจากนี้ยังประเมินตัวเองได้ด้วยว่า เราน่าจะสอบได้คะแนนจริงประมาณเท่าไหร่ ถ้าฝึกทำข้อสอบเองที่บ้านไม่ได้มาทำ Mock-Up Test เราจะรู้จากเฉลยคำตอบว่าเราผิดตรงไหนแค่พาร์ท Listening กับ Reading เท่านั้น แต่พาร์ท Writing กับ Speaking เราไม่มีทางรู้เลยว่าผิดตรงไหนและควรแก้ไขยังไง ซึ่งที่ English Parks จะมีอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำตรงนี้ตลอดครับ
อาจาร์ยจะคอยช่วยตลอดเรื่องคำศัพท์ เรื่องแกรมม่า แล้วก็เรื่องไอเดียที่จะเขียนและพูด ซึ่งอาจารย์จะเน้นเรื่องไอเดียมากๆ จนตอนนี้ผมสามารถรับสอนพิเศษให้เพื่อนๆได้เลยครับ
ผมมองว่าเป็นข้อดีนะครับ โดยเฉพาะการเรียนทฤษฏี อย่าง Grammar และ Writing หรือการเรียนเพื่อทำข้อสอบ เพราะอาจารย์คนไทยจะมีคอนเซ็ปต์ที่ทำให้เราเข้าใจง่าย แต่ถ้าเรียนทำข้อสอบกับอาจารย์ฝรั่งที่เขารู้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด บางทีอาจารย์อาจไม่รู้ว่าวิธีไหนที่จะอธิบายให้เราเข้าใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าจริตคนไทยเป็นยังไง หรือมีความเข้าใจยังไงกับเรื่องที่เรียน
การเรียนพูดแน่นอนอยู่แล้วว่าควรต้องเรียนกับอาจารย์ฝรั่งที่เป็น Native speakers ส่วนตัวผมชอบอาจารย์ Greg มากๆ เพราะอาจารย์สอนสนุก มีมุกมาให้เราขำตลอด ที่สำคัญเขารู้ภาษาไทยด้วย บางครั้งเราไม่รู้ว่าต้องพูดยังไง แต่อาจารย์ Greg จะบอกว่า พูดภาษาไทยมาได้เลย แล้วเดี๋ยวเขาจะช่วยบอกประโยคภาษาอังกฤษที่ถูกต้องให้
ผมเคยเรียนที่อื่นเหมือนกันครับ เน้นเรียนพูดแต่สุดท้ายแล้วก็ยังพูดไม่ได้ ด้วยความที่เรายังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนด้วยแหล่ะครับว่าจะเรียนไปทำไม แต่พอมาที่นี่ผมเริ่มนับหนึ่งใหม่เลย ช่วง 3 เดือนแรกเป็นการเรียนเพื่อปูพื้นฐานให้แน่น พอช่วง 3 เดือนหลังถึงได้เข้าเรียนคอร์ส IELTS
การได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาคราวนี้ ภาษาอังกฤษของผมน่าจะดีขึ้นอีก โดยเฉพาะ Speaking และ Listening ส่วน Reading และ Writing ผมจะพยายามฝึกให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าการมีพื้นฐานที่แข็งแรง จะช่วยให้เราสามารถต่อยอดในสิ่งที่ยากขึ้นไปอีกได้เรื่อยๆ และทุกคนสามารถพัฒนาได้แน่นอน หากมีการฝึกฝนนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอ และจะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต
ผมวางแผนไว้ว่าถ้าเรียนจบ ป.ตรีแล้ว อยากเรียนต่อ ป.โท ที่อเมริกา ซึ่งต้องสอบ IELTS กันอีกรอบ และตั้งเป้าว่า ต้องสอบได้คะแนน IELTS 8.0 เพราะถ้าได้มันจะเป็นความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิตเลยนะ
ยุคนี้มีการแข่งขันสูงมากขึ้น เราควรต้องรู้อย่างน้อย 2 ภาษา และต้องคิดให้ไกลมากขึ้นว่า ภาษาอังกฤษมีส่วนช่วยสร้างโอกาสให้เราในอนาคต เช่น การทำงาน ถ้าใครได้ภาษาก็สามารถยกระดับตัวเองได้มากกว่าคนอื่น หรือถ้าเป็นเรื่องเรียน แน่นอนอยู่แล้วว่ามหาวิทยาลัยดังๆที่มีคุณภาพดี จะกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้สูงมาก เพราะเขาต้องการคนที่มีศักยภาพจริงๆ เมื่อเรียนจบเราก็มีโอกาสในการเลือกร่วมงานกับบริษัทองค์กรที่มีชื่อเสียง ซึ่งส่งผลต่อความก้าวหน้าของเราในอนาคต
หมายเหตุ: ผลสอบของนักเรียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ระยะเวลาในการเตรียมตัว และความมุ่งมั่นตั้งใจในการเตรียมสอบด้วย อย่างไรก็ตามทางอิงลิชพาร์คพร้อมดูแล และช่วยให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียนตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ