Image Not Found

หมอกบ IELTS 6.5

การเรียนที่นี่ตอบโจทย์และเหมาะกับเรามากค่ะ เพราะตารางเรียนค่อนข้างยืดหยุ่น…ด้วยลักษณะงาน ทำให้เราไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้ทุกครั้ง แต่ที่นี่มีคลาสที่เปิดไว้ให้เรามาเรียนได้ตลอด คือ ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มาเรียนได้เลยค่ะ

IELTS 6.5

Listening
7.5

Reading
7.0

Writing
5.5

Speaking
6.0

ภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่มีความสำคัญในทุกแวดวงอาชีพ แม้กระทั่งในวงการแพทย์ “คุณหมอกบ สุกัญญา จิระชัยพิทักษ์” ยอมรับว่าแพทย์รุ่นใหม่ๆ ต่างมีทักษะภาษาอังกฤษดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่อย่างหมอกบก็ต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาตัวเองเช่นกัน เพราะการทำงานทุกวันนี้ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่

อีกทั้งการจะได้ทุนไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางก็ยังต้องสอบ IELTS ให้ผ่านตามเกณฑ์ แต่สุดท้ายหมอกบก็ทำได้สำเร็จ หมอกบสอบได้คะแนน IELTS Overall 6.5 (Listening 7.5, Reading 7.0, Writing 5.5, Speaking 6.0) หมอกบมีเทคนิคในการเรียนและเลือกที่เรียนอย่างไร ติดตามอ่านจากบทสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ

ตอนนี้สอนนักศึกษาแพทย์ด้านวิสัญญีแพทย์ที่ศิริราชค่ะ แต่ที่ต้องสอบ IELTS เพราะต้องใช้ผลคะแนนไปเรียนต่อ Subspecialty หรือ แพทย์เฉพาะทางสาขาต่อยอดที่ต่างประเทศ ซึ่งทางคณะแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดลเขามีทุนให้ แต่เราจะยื่นขอทุนได้ก็ต้องมีคะแนนสอบ IELTS หรือ TOEFL อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็น IELTS ต้องได้คะแนน Overall 6.5 ขึ้นไปค่ะ

ครั้งแรกที่ไปสอบคือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้คะแนนประมาณ 5.5 ซึ่งไม่ถึงเกณฑ์ตามที่ทางคณะกำหนดไว้ ตามเงื่อนไขการยื่นขอทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ มีรายละเอียดว่า ถ้าไปเรียนต่อในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ต้องได้คะแนน IELTS 6.5 แต่ถ้าเป็นประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น ญี่ปุ่น ใช้คะแนน 6.0 ก็พอค่ะ

ปกติทางคณะจะสนับสนุนให้อาจารย์แพทย์ไปเรียนต่อต่างประเทศเกือบทุกคน เพราะฉะนั้นพอทำงานเป็นอาจารย์ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่ามีแนวโน้มจะต้องไป จริงๆ แล้วตั้งแต่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ภาอังกฤษเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูด แต่ยังได้อ่าน Textbook ที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่ตลอด ครั้งแรกที่สอบก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรแค่อยากลองค่ะ

ไปสอบครั้งที่ 2 เมื่อปีที่แล้วค่ะ ได้คะแนน IELTS Overall 6.0 คิดว่าน่าจะเป็นเพราะไม่มีเวลาเตรียมตัวที่ดีพอ และไม่ได้ลงเรียนคอร์สติว IELTS โดยเฉพาะที่ไหนเลยด้วยค่ะ เราก็เรียนแค่ทักษะภาษาอังกฤษทั่วไปอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งมันคนละเรื่องกับ IELTS เลย ตอนแรกคิดว่าสอบให้ได้ 6.5 ไม่น่ายาก แต่จากผลสอบที่ผ่านๆมา ทำให้รู้ตัวเลยว่าต้องเรียนอย่างจริงจังแล้วเพื่อให้สอบได้ตามเกณฑ์ ยิ่ง Writing นี่ได้คะแนนน้อยมากๆ แค่ 5.0 ค่ะ นอกจากนี้ก็มีปัญหาเรื่องทำข้อสอบไม่ทันเพราะบริหารจัดการเวลาไม่ดีค่ะ

จริงๆ คนส่วนใหญ่แนะนำให้เราเรียนสถาบันดังๆ หลายที่ แต่ติดที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง เราไม่สะดวกเดินทาง และโดยส่วนตัวคิดว่า เราไม่จำเป็นต้องเรียนในสถาบันชื่อดังก็ได้ แต่ให้พิจารณาจากคุณภาพการเรียนการสอนที่ดี และเราก็ต้องฝึกฝนด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง

กบรู้จักอิงลิชพาร์คเพราะมีรุ่นพี่ที่เป็นอาจารย์นักศึกษาแพทย์ด้วยกันเคยมาเเรียนที่นี่ค่ะ ตอนนั้นพี่เขามาเรียน เนื่องจากที่คณะประกาศรับสมัครอาจารย์เข้ามาใหม่แล้วก็มีเงื่อนไขเรื่องการใช้คะแนน IELTS ทำให้ทุกคนตื่นตัวเรื่องการไปสอบ ในขณะที่กลุ่มแพทย์ Resident รุ่นใหม่ๆที่เข้ามา เขาก็เก่งภาษาอังกฤษกว่าคนในรุ่นของกบมาก อีกทั้งกิจกรรมทางวิชาการก็เป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมด เช่น ต้อง Present เป็นภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่การอบรมก็จะใช้ภาษาอังกฤษเยอะขึ้น

ดังนั้นคนรุ่นเราเลยต้องหาที่เรียนเพิ่มเติม รุ่นพี่คนนี้ก็มาเล่าให้ฟังว่าที่นี่ดีนะ เขาสมัครคอร์สเรียน Unlimited Package ซึ่งมาเรียนได้ทุกวัน ส่วนบรรยากาศการเรียนก็ดี เราเลยมาสมัครเรียนที่นี่ค่ะ

การเรียนที่นี่ตอบโจทย์และเหมาะกับกบมากค่ะ เพราะตารางเรียนค่อนข้างยืดหยุ่น กบเคยไปดูคอร์สเรียนที่อื่น แม้แต่ Private Class ของที่อื่นก็ยังติดเรื่องเวลาเลย ด้วยลักษณะงาน ทำให้เราไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้ทุกครั้ง แต่ที่นี่มีคลาสที่เปิดไว้ให้เรามาเรียนได้ตลอด คือ ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มาเรียนได้เลยค่ะ

ตอนเรียนก็ยังเป็นนักเรียนที่ไม่ชอบเรียน Speaking ค่ะ เพราะเราไม่ค่อยกล้าพูด อาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยมั่นใจ กลัวพูดผิดหลักแกรมม่า ช่วงแรกเลยเน้นเข้าเรียนคลาสที่เป็นพื้นฐานก่อน เช่นพวก Grammar และ Sentence writing เพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อน ซึ่งเรานำพื้นฐานพวกนี้มาปรับใช้ใน Part Writing ของ IELTS ได้ดีเลย ทำให้การเขียนเราดีขึ้นด้วย และแน่นอนว่าต้องเข้าเรียนคลาส IELTS ด้วยค่ะ

ทุกวันอาทิตย์กบจะเข้าไปเรียนคลาส IELTS ซึ่งอาจารย์จะเจาะลึกในเรื่องเทคนิคของการทำข้อสอบ พยายามหาว่าข้อสอบชุดนี้ต้องการคำตอบอย่างไร ทิศทางของคำถามน่าจะเป็นแบบไหน จุดที่เราต้องสังเกตอยู่ตรงไหน

แต่ที่สำคัญคือ การฝึกฝนค่ะ เราจะได้เรียน Listening และ Reading คลาสละ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หลังจากนั้นทางโรงเรียนจะเตรียมการบ้านให้เราต้องไปฝึกเองด้วย โดยการใช้เทคนิคที่ได้เรียนจากในห้องเรียนค่ะ ก่อนไปสอบประมาณ 2 อาทิตย์ เราก็เอาข้อสอบมาฟังแล้วตรวจเอง แล้วก็ฟังซ้ำทบทวนความเข้าใจว่าเราพลาดตรงไหน

ส่วน Reading ก็พยายามอ่านให้เข้าใจ และจับเวลาทุกครั้ง ความยากของ Part นี้คือต้องแข่งกับเวลา ส่วนตัวคิดว่า Listening กับ Reading เราใช้เวลาฝึกฝนต่อด้วยตัวเองได้ง่ายกว่า ซึ่งแตกต่างจาก Writing กับ Speaking ที่ต้องมีคนตรวจ และมีคนให้ feedback ค่ะ

ช่วงที่เรียนก็เขียน Writing ส่งอาจารย์นะคะ แต่ยังได้คะแนนค่อนข้างน้อย ซึ่ง feedback จากอาจารย์คือ ส่วนใหญ่ผิดเรื่อง Grammar และบริบทของเนื้อหายังเขียนวนไปวนมา ก่อนหน้านี้คะแนน Writing ได้ 5.0 เพราะเขียนไม่ทัน รอบล่าสุดนี้แม้ว่า Grammar จะยังผิดอยู่ แต่เราได้ฝึกเขียนอยู่บ้างทำให้เขียนเสร็จทันเวลา คะแนนก็เลยได้เพิ่มขึ้นนิดหน่อย

แต่ยังรู้สึกเสียดายอยู่ค่ะ ถ้ามีเวลาเพิ่มขึ้นน่าจะทำได้ดีกว่านี้ และด้วยสายงานที่ทำ เราก็ไม่ค่อยได้ฝึกการแสดงความคิดเห็นกับใคร ในเรื่องดิน ฟ้า อากาศ สังคม สิ่งแวดล้อม และข่าวสารรอบตัวเลย ส่วนตัวก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องรอบตัวอะไรพวกนี้ด้วย ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้จะเป็นหัวข้อทีเจอได้บ่อยในโจทย์ Writing ค่ะ กบคิดว่าการเตรียมตัวตรงนี้ของเราเลยน้อยไปนิดนึงค่ะ

ประทับใจทั้งเรื่องของอาจารย์ที่มีคุณภาพและใจดีมาก เราอยากรู้อะไรเพิ่มก็ถามได้หมดเลยค่ะ และพี่ๆเจ้าหน้าที่ที่นี่ดูแลเอาใจใส่ดีมากๆ และคอยช่วยกระตุ้นให้เด็กๆทำการบ้านส่ง อีกทั้งยังมีความเป็นกันเอง คุยง่าย นอกจากนี้นักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ดูสนิทกันมากๆด้วยค่ะ ^__^

หมายเหตุ: ผลสอบของนักเรียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ระยะเวลาในการเตรียมตัว และความมุ่งมั่นตั้งใจในการเตรียมสอบด้วย อย่างไรก็ตามทางอิงลิชพาร์คพร้อมดูแล และช่วยให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียนตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ