Image Not Found

Mean IELTS 6.5

ได้อะไรเยอะ เยอะมากถ้าเทียบกับตอนมาครั้งแรก อาจารย์จ๋ายก็สอนเข้าใจ คือ มีนเป็นคนไม่ค่อยมีไอเดีย อาจารย์จ๋ายก็จะ guideline ไอเดียให้ก่อน โดยเฉพาะทักษะการเขียนใน part 2 เจอโจทย์ในลักษะณะนี้ควรจะมีรูปแบบการเขียน ยังไง

IELTS 6.5

Listening
6.5

Reading
6.5

Writing
6.0

Speaking
6.5

บทสัมภาษณ์น้องมีน(มาติกา) อายุ 23 ปี นักเรียนคนเก่งอีกคนของทาง English Parks นะคะ
น้องมีนสอบ IELTS ได้ 6.5 ซึ่งตอนนี้น้องกำลังเลือกมหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ เห็นว่าได้ตอบรับมาหลายที่แล้ว เช่น University of Exeter ยินดีด้วยอีกทีนะคะ
มาดูกันได้เลยค่ะ ว่าน้องมีวิธีการเรียน และการเตรียมตัวสอบอย่างไรบ้าง ^_^

ดูผ่านทาง Internet แล้วโทรมาสอบถามข้อมูลดูค่ะ จริงๆ คิดอยากจะมาเรียนที่ Mean: English Parks นานแล้ว เคยติดต่อเข้ามาก่อนแล้วครั้งนึง แต่ตอนนั้นติดเรียนที่อื่นอยู่ค่ะ

ก็เรียนที่ที่นึงมาก่อน แต่ก็ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ค่ะ คือเค้าเน้นให้เรานั่งทำเองไม่ได้สอนอะไร โดยเฉพาะเรื่องการเขียนแทบไม่ได้สอนอะไรเลย
ที่ตัดสินใจเลือก English Parks เพราะเห็นเด็กนักเรียนที่นี่ไปสอบ IELTS แล้วได้คะแนนเยอะ ก็เลยอยากมาลองเรียนที่นี่ โดยเลือกเรียนแบบ Private หรือตัวต่อตัว เพราะมีนเป็นคนเสียสมาธิง่าย แล้วบวกกับต้องโดนจี้ด้วย ถ้าไม่จี้มีนก็ไม่ทำ แล้วไม่อยากไปถ่วงคนอื่นในห้องเรียนด้วย เลยคิดว่าเรียนตัวต่อตัวน่าจะดีกว่า ตลอดระยะเวลาที่เรียนที่ English Parks และผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มีนอยากจะบอกว่าพอใจมากเลยค่ะ ขอบคุณพี่ๆ และอาจารย์อีกครั้งนะคะ

ตอนนี้ก็กำลังเลือกมหาวิทยาลัยอยู่ หนูจะไปเรียนต่อทางด้าน Marketing ซึ่งต้องการคะแนนทุก part ไม่ต่ำกว่า 6.0 ซึ่งจะช่วยให้ผ่าน Pre-sessional course ได้เลย
ตอนนี้มีมหาวิทยาลับตอบรับมาบ้างแล้วค่ะ ก็กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกเรียนที่ไหนดี แต่ใจจริงที่คิดไว้ตั้งแต่แรกคืออยากเลือกที่ University of Exeter อยู่อันดับ 10 ของประเทศอังกฤษ ซึ่งตอนนี้ได้ตอบรับจากมหาลัยนี้แล้วด้วย แต่ก็มีอีกทีคือ Lancaster University กำลังรอสัมภาษณ์อยู่ค่ะ จริงๆแล้วเกรดเฉลี่ยไม่ถึง แต่ที่ได้สัมภาษณ์เพราะเค้าเห็น profile ของหนูว่าโอเค ก็เลยได้โอกาสมาสัมภาษณ์ ซึ่งอันดับก็ใกล้เคียงกัน (อันดับ 11) ตอนนี้ก็เลยเริ่มลังเล ถ้าสัมภาษณ์ผ่านก็อาจจะคิดหนักกว่าเดิมว่าจะเลือกยังไงดี ^^(หัวเราะ)

ก็ดีนะ (หัวเราะ) ได้อะไรเยอะ เยอะมากถ้าเทียบกับตอนมาครั้งแรก อาจารย์จ๋ายก็สอนเข้าใจ คือ มีนเป็นคนไม่ค่อยมีไอเดีย อาจารย์จ๋ายก็จะ guideline ไอเดียให้ก่อน โดยเฉพาะทักษะการเขียนใน part 2 เจอโจทย์ในลักษะณะนี้ควรจะมีรูปแบบการเขียน ยังไง แนวไหน
ส่วนทักษะการฟัง อาจารย์จะบอกว่าต้องดูโจทย์ก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่จะมาเรียนที่นี่ก็จะทำๆ ไปเลย ได้ยินอะไรก็เขียนเลย แต่ที่นี่อาจารย์จ๋ายก็บอกก่อนว่า ควรจะคาดการณ์ว่าคำตอบควรจะเป็นแบบไหน Verb, Adjective หรือ ชื่อ อะไรประมาณนั้น
การเรียน Reading แตกต่างจากที่เคยคิดมาตลอดเลย คือเมื่อก่อน จะ scan skim เท่านั้น แต่อาจารย์สอนวิธีให้อ่านทีละช่วงแล้วตอบ ในส่วน Speaking นั้น ตอนเรียนที่อื่น อาจารย์ก็จะ strict ว่าต้องพูดเรียงกันเป็น pattern (who what where when why) ซึ่งทำให้เราพูดติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งหนูคิดว่ามันไม่น่าจะต้องเรียงแบบนั้นเสมอไป ที่นี่อาจารย์นิกกี้ก็จะสอนเน้นไปที่ part 3 เพราะจะยากที่สุด แล้วส่วนมากหนูก็จะพูดแค่ I think I think แค่นี้ แต่อาจารย์นิกกี้ ก็จะให้คำศัพท์มาเพิ่มแทน เช่น from my perspective คือให้เปลี่ยนคำเป็นคำอื่นที่หลากหลายมากขึ้น แล้วให้รวบรวมความคิดเพื่อสร้างไอเดียที่หลากหลายในการพูด ซึ่งก็ช่วยได้มากเลยค่ะ ^_^

ก่อนมาเรียนสอบครั้งแรกได้ 6.0 แต่ว่าบาง part ได้ไม่ถึง 6 เลยยกเว้น part speaking ที่ได้ 7.0 (Listening = 5.5, Reading 5.0, Writing 5.5, Speaking 7.0)
ส่วนครั้งที่ 2 และ 3 ไปสอบหลังจากเรียนที่ English Parks แล้วได้ Overall 6.5 (ครั้งที่ 3 ไปสอบติดๆ กับครั้งที่ 2 เลย)
ซึ่งคะแนนขึ้นเกือบทุก part โดยเฉพาะ Reading กับ Listening ขึ้นเยอะมาก จาก 5.5 และ 5.0 ขึ้นเป็น 6.5 ทั้งหมดเลย ส่วน Speaking คะแนนตกลงมานิดนึงจาก 7.0 ลงมา 6.5 ค่ะ ^^”
ครั้งที่ 2 -> Listening 6.5, Reading 6.5, Writing 6.0, Speaking 6.5
ครั้งที่ 3 -> Listening 7.0 Reading 6.0, Writing 5.5, Speaking 6.5
การพูดบางครั้งก็ต้องใช้ไหวพริบด้วย เช่นถ้าเราได้หัวข้อที่ไม่คุ้นเคยเราก็ต้องโกหกเลย ซึ่งมีนเวลาต้องพูดอะไรที่ไม่จริง จะกลายเป็นพูดรัวๆ ซึ่งทำให้เราพูดเร็วเกินไป เลยคิดว่าน่าจะพลาดตรงนี้ด้วย คือครั้งแรกที่ได้ 7 ได้หัวข้อที่ค่อนข้างคุ้นเลย ก็จะพูดค่อนข้างช้า เนิบๆ ชัดๆ แต่ครั้งนี้คือแบบคิดไม่ทันก็ต้องพูดเร็วๆ
แต่หนูใช้คะแนนครั้งที่ 2 ยื่น เพราะคะแนนทุก part ผ่านเกณฑ์หมดที่ทางมหาลัยต้องการ ทำให้ไม่ต้องไปเรียน pre-session ด้วย แต่ก็ยอมรับว่าสอบครั้งที่ 2 กับครั้งที่ 3 ถี่กันเกินไป กลับกลายเป็นว่าการไปสอบครั้งที่ 3 มันไม่มีเวลาได้ฝึกเตรียมให้ดีเท่าที่ควร เมื่อเที่ยบกับครั้งที่ 2 คะแนนก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เพราะสอบครั้งนึงก็เหนื่อยมากๆ เพราะสอบทั้งวัน

ถ้าถามถึงความพอใจกับคะแนนที่ได้หรือเปล่า ตอบได้เลยค่ะว่าพอใจมากๆ เพราะว่ามันยากมากที่จะทำทุก part ให้ได้ 6.0 ขึ้นไป การที่จะได้คะแนน Overall 6.0 หรือ 6.5 มันไม่ยากเท่ากับการที่จะให้ได้คะแนนทุก part เกิน 6.0 ขึ้นไป อย่าง part Writing ครั้งที่ 2 เนี่ยรู้สึกว่าตัวเองเขียนดีนะ แต่เขียนไม่ทัน(อารมณ์ว่าเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ ^^?) แต่ครั้งที่ 3 เขียนเกือบเสร็จแต่เขียนไม่ดีเท่าครั้งที่ 2 รู้ตัวเลย คืออาจารย์จ๋ายเหมือนเคยให้หัวข้อคล้ายๆหัวข้อที่ไปสอบครั้งที่ 2 ซึ่งก็สามารถเอาลักษณะการตอบไปประยุกต์ใช้ต่อได้

เรื่องเตรียมตัวสอบก็มีทำการบ้าน อาจารย์จะให้การบ้านทุกครั้งที่มาเรียน มีนก็จะทำมาส่งตลอด อีกอย่างที่อยากแนะนำคนที่จะไปสอบคือ “อย่าเครียดเกินไป” เพราะถ้าเครียดเกินไปก็จะไปกดดันตัวเองมากขึ้น ก็จะทำให้เราทำไม่ได้ สรุปก็คือผ่อนคลายอย่าเครียด
Listening ก็มีกลับไปฝึกเองเพิ่มเติมเองที่บ้าน ส่วน Writing อาจารย์จ๋ายก็จะให้การบ้านทุกครั้ง ซึ่งส่วนมากจะเน้นไปที่ part 2 กลับไปฝึกทำแล้วให้อาจารย์เช็คดูเพื่อปรับให้ดีขึ้นค่ะ

ก็มีบ้าง คือหนูคิดว่าถ้าตั้งใจเรียนในห้องก็จะช่วยได้เยอะ ก็รู้ตัวว่าเป็นคนขึ้เกียจก็ต้องขยันเวลาเรียนในห้องเยอะๆ แล้วหลังเลิกเรียน อาจารย์ก็จะให้อยู่ต่อเพื่อฝึกทำข้อสอบ แบบข้อสอบจริงๆ โดยเฉพาะการฟัง หรือ Listening ซึ่งฝึกเยอะมากๆ ค่ะ ^__^

หลังจากอ่าน testimonial ตรงนี้แล้ว ทางโรงเรียนหวังว่าน้อง ๆ จะเกิดแรงบันดาลใจ มุ่งมั่นในการทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จกันนะคะ ^_^

หมายเหตุ: ผลสอบของนักเรียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ระยะเวลาในการเตรียมตัว และความมุ่งมั่นตั้งใจในการเตรียมสอบด้วย อย่างไรก็ตามทางอิงลิชพาร์คพร้อมดูแล และช่วยให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียนตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ