Image Not Found

TOEY IELTS 7.0

ที่ชอบมาก คือ ในคลาส Writing อาจารย์จะให้ Brainstorm ก่อนเขียนทุกครั้ง จากที่เคยคิดว่าเรามีไอเดียที่จะเขียนดีอยู่แล้ว แต่บางครั้งไอเดียของเพื่อนดีกว่าเราอีก ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ค่ะ

IELTS 7.0

Listening
8.0

Reading
7.5

Writing
6.0

Speaking
6.0

“น้องเตย จันสิดา มกรานนท์” นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนไทยคริสเตียน (English Program) และ นักเรียนคอร์ส Unlimited Package ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษที่ไหนแลย เพราะพื้นฐานค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่การมาเรียนที่นี่ทำให้ทักษะภาษาอังกฤษของน้องพัฒนาขึ้นมาก รวมถึงได้เทคนิคดีๆที่ช่วยทำให้สอบได้ IELTS 7.0 เลยค่ะ (Listening 8.0, Reading 7.5, Speaking 6.0 และ Writing 6.0) ซึ่งเกินความคาดหมายของน้องเตยมากๆ เลยค่ะ มาลองอ่านบทสัมภาษณ์ของน้องกันได้เลยค่ะ

เตยอยากเข้าเรียนที่ คณะ ICT มหาลัยมหิดล หลักสูตรนานาชาติ ซึ่งต้องใช้คะแนน IELTS ค่ะ แล้วเพื่อนเตยที่เรียนที่อิงลิชพาร์ค มาก่อน ก็ไปสอบ IELTS ได้คะแนน 6.5 แล้ว เตยเห็นว่าเพื่อนได้คะแนนดีก็เลยอยากมาเรียนบ้าง อีกอย่างคือที่นี่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าด้วย (BTS พญาไท) ซึ่งดินทางสะดวกมาก และที่ชอบที่สุด คือ คอร์ส Unlimited Package ที่เรียนได้ไม่จำกัด ซึ่งเตยก็เลือกเรียนคอร์ส Unlimited Weekend 3 เดือน ที่เน้นเข้าเรียนคลาส IELTS เป็นหลักค่ะ

ปกติก็เรียนได้เกรด 4 ค่ะ แต่ว่าที่มาเรียนเพราะอยากได้เทคนิคในการทำ ข้อสอบ IELTS ซึ่งก่อนเข้าเรียนเตยได้ทำ Pre-Test ซึ่งเห็นเลยว่ายังมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขอยู่พอสมควร ตอนไปสอบ IELTS ก็คิดว่า จะได้คะแนน IELTS สูงสุดที่ 6.5 แต่ผลออกมาจริงๆ ก็ได้ 7.0 เลยค่ะ เรียกว่าเหนือความคาดหมายมากๆ พ่อก็ดีใจไปกับเตยด้วย ส่วนเพื่อนๆก็ตื้นเต้นกันใหญ่ค่ะ 555

เคยค่ะ แต่เตยได้คะแนนน้อยมากแค่ 5.5 เอง สาเหตุเพราะ เตยมีปัญหาเรื่องการบริหารเวลาในการทำข้อสอบ อย่างเช่น Writing มีทั้งหมด 2 Task แต่ทำเสร็จแค่ Task เดียว ขณะที่ Reading ทำไม่ทันเพราะใช้เวลาอ่านนานเกินไป เลยคิดว่าต้องมาเรียนเพิ่มเติมแล้วค่ะ

เตยเรียนคลาส Pronunciation ด้วย ซึ่งช่วยได้เยอะมาก ก่อนหน้านี้บางคำที่เคยคิดว่าออกเสียงถูกแล้ว แต่ความจริงแล้วผิดมาตลอด แล้วก็คลาส Grammar ซึ่งเตยจะมีปัญหาเรื่องการใช้ Passive Voice ซึ่งใช้ผิดทุกครั้ง ทำให้ปกติเวลาเขียน Essay เตยจะเลือกใช้แต่ประโยคที่เป็น Active Voice แต่อาจารย์สอนดีมากๆ จนตอนนี้เตยสามารถใช้ Passive Voice ได้ดีขึ้นมากและถูกต้องด้วยค่ะ
นอกจากนี้ยังเข้าเรียนคลาส Chit Chat ที่เป็น Conversation เสริมด้วย ซึ่งในคลาสจะเป็นเหมือนการพูดคุยเล่นกันกับเพื่อน ทำให้เตยมีความกล้าและมั่นใจที่จะพูดมากขึ้น

มาทำ Mock Test บ่อยมากค่ะ ยิ่งก่อนสอบนี่มาตลอดเลย ตอนแรกเตยมั่นใจ Reading มาก เลยคิดว่าจะติวแค่ Writing แต่พอได้ลองทำข้อสอบดูแล้ว ปรากฏว่าได้คะแนน Reading น้อยมาก สาเหตุเพราะเตยบริหารเวลาไม่ดี แต่พอฝึกบ่อยๆ ก็บริหารเวลาได้ดีขึ้นและได้คะแนนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

อาจารย์ตรวจเข้มมากๆ แถมเวลาเรียนก็กดดันด้วยการจับเวลาทุกครั้งที่เขียนเลยค่ะ 555
แต่ที่ชอบมาก คือ ในคลาสอาจารย์จะให้ Brainstorm ก่อนเขียนทุกครั้ง จากที่เคยคิดว่าเรามีไอเดียที่จะเขียนดีอยู่แล้ว แต่บางครั้งไอเดียของเพื่อนดีกว่าเราอีก ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ค่ะ

เตยเอา Writing ที่เคยเขียนมาทบทวนใหม่ทั้งหมด เช่น บางทีลืม article ซึ่งเป็นจุดง่ายๆ ที่ไม่ควรผิดแล้ว เตยก็จะไปอ่านเรื่อง article เพิ่มเติม หรือ ถ้าเราผิดตรงไหนเยอะๆ ก็จะรีบเปิดหนังสือทบทวนเพื่อความชัวร์ แต่รู้เลยว่าทำไมคะแนนสอบ IELTS จริงๆ ถึงได้คะแนนพาร์ท Writing 6.0 เพราะ Task 2 เตยเขียนเยอะเกินไปค่ะ ทำให้เขียนสรุปไม่ทัน เลยโดนหักคะแนนตรงจุดนี้ เพราะฉะนั้นถ้าใครจะไปสอบต้องฝึกเขียนเยอะๆ เลยค่ะ Grammar ต้องได้ คิดเรื่องที่จะเขียนให้เร็ว และอีกอย่างที่จะช่วยเรื่อง Writing ได้ดี คือ ต้องใช้ Transition Words (คำเชื่อม) ซึ่งทำให้รูปประโยคสวยขึ้นค่ะ

ใช่ค่ะ เตยจะชอบเผลอออกเสียง s ทั้งที่คำๆ นั้นไม่ได้เติม s เลย แล้วก็พูดวกไปวนมา ซึ่งอาจารย์ก็บอกให้เตยกลับไปฝึกต่อที่บ้านให้เยอะๆ ฝึกเรียบเรียงเรื่องที่จะพูดให้ดี ส่วนเรื่องคำศัพท์ก็ควรเลือกใช้คำที่ Advanced มากขึ้น เช่น ใช้คำว่า Fantastic แทนคำว่า Beautiful เป็นต้น

Part 2 เตยได้คำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โดยให้บรรยายเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ พร้อมระบุว่าเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ และเราไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหน ทำไมจึงคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ ซึ่งเตยพูดเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งพูดได้เรื่อยๆ นะคะ เพราะปกติชอบเรียนวิชาสังคม แต่มาสะดุดตอน Part 3 ซึ่งต่อยอดมาจาก Part 2 ซึ่งถามว่า คุณนำบทเรียนจากสงครามมาใช้อย่างไรบ้าง ตอนแรกเตยคิดไม่ออกว่าจะตอบยังไง แต่อาจารย์เคยสอนว่าถ้าไม่รู้จะพูดอะไร ให้พยายามยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเราให้มากที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสามารถเชื่อมโยง Topic กับตัวเราได้

ตอนแรกคิดว่า ถ้าไม่มาเรียนก็น่าจะทำข้อสอบได้ดีพอสมควร แต่พอได้มาเรียนและทำ Mock-Up Test ก็รู้เลยว่าข้อสอบ IELTS ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น เรื่องการบริหารเวลา หรือ บางจุดที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีแล้ว แต่ความจริงยังมีวิธีที่ทำให้เราทำข้อสอบได้ดีกว่านั้นอีก นอกจากนี้เตยยังขาดคำศัพท์ขั้นสวยๆ ในระดับ Academic อยู่พอสมควร ดังนั้นการมาเรียนทำให้เตยพัฒนาขึ้นเยอะมากค่ะ

อย่างวันอาทิตย์คลาส Grammar สอนเรื่อง Past Tense ที่เตยเข้าใจดีอยู่แล้ว เตยก็ไม่เข้าเรียนนะคะ แต่เลือกที่จะมาดู VDO Self-Learning เรื่องอื่นๆ ที่เตยไม่เข้าใจแทน ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ถ้าเป็นที่อื่นเราต้องเรียนตามหลักสูตร เรื่องไหนที่ไม่เข้าใจก็ไม่มีให้ดูซ้ำหรือกลับมาทบทวนได้เลย หมดคอร์สแล้วก็คือจบ แต่ที่นี่ต่างจากที่อื่นมากค่ะ ^__^

เตยคิดว่า ตัวเองเตรียมตัวช้าไปด้วยซ้ำค่ะ เพราะมีเวลาเรียนเสริมแค่ 3 เดือนก่อนยื่นคะแนน IELTS
แต่ว่ายังโชคดีที่ทำคะแนนสอบได้ดี ดังนั้นสำหรับใครที่คิดจะเข้าเรียนต่อภาคอินเตอร์ ควรเตรียมตัวสอบ IELTS ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี คือเริ่มตั้งแต่ ม.5 เลยจะดีที่สุด เพราะถ้าเราสอบได้คะแนนผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ ม.5 แล้ว พอขึ้น ม.6 เราก็จะสบายใจมากขึ้น และเอาเวลาไปทุ่มให้กับการเตรียมสอบวิชาอื่นๆ ได้เต็มที่ เช่น SAT, GAT-PAT หรือ O-NET ที่ทุกคนต้องสอบค่ะ

หมายเหตุ: ผลสอบของนักเรียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ระยะเวลาในการเตรียมตัว และความมุ่งมั่นตั้งใจในการเตรียมสอบด้วย อย่างไรก็ตามทางอิงลิชพาร์คพร้อมดูแล และช่วยให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในการเรียนตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ